วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กระบวนการศึกษา:2

สัตว์ในระบบนิเวศป่าชายเลน
สัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลนตลอดวงจรชีวิตของมัน
ปูก้ามดาบ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในป่าชายเลน โดยมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อาหาร และกระบวนการหมุนเวียนของธาตุอาหารและอินทรียสารพวกซากไม้เศษไม้ ปูก้ามดาบกินอาหารโดยเลือกอินทรียสารจากดินทราย รยางค์ส่วนปากของมันมีลักษณะพิเศษเฉพาะ เพื่อใช้เลือกและแยกอาหารพวกอินทรียสารและจุลชีพออกจากตะกอนดินที่มีขนาดอนุภาคต่างกัน การกระจายของปูก้ามดาบแต่ละชนิดจะขึ้นอยู่กับลักษณะของดินและความเค็มของน้ำนอกจากนี้ การกระจายของปูก้ามดาบก็ยังขึ้นอยู่กับปริมาณอาหาร ร่มเงาและความชื้น อุณหภูมิ และความลาดเอียงของหาด

ปูแสม จะเดินขึ้นลงตามรากไม้ในป่าชายเลนอย่างรวดเร็วมาก ปูแสมจัดเป็นกลุ่มปูที่พบมากที่สุดในบริเวณป่าชายเลน ตั้งแต่ตัวเล็กไปจนถึงตัวใหญ่มาก ปูแสมมีบทบาทที่สำคัญในการย่อยสลายอินทรียสารในป่าชายเลน โดยจะกินพวกเศษไม้ใบไม้ที่ร่วงหล่น ปูแสมที่พบในป่าชายเลนสามารถแบ่งได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่คือ กลุ่มที่คลานหรือวิ่งไปมาในป่าชายเลนซึ่งมักจะหลบอาศัยอยู่ตามรากของต้นไม้ใหญ่คือ ไม้โกงกาง ไม้ถั่ว และไม้แสม กลุ่มที่สอง จะสร้างรูอยู่ใต้ดิน หรือตามรากไม้ต่างๆ ซึ่งลักษณะรูจะต่างกันแล้วแต่ชนิด ปูแสมบางชนิดจะพบได้ในมูลดินของแม่หอบ๑ซึ่งเป็นสัตว์กึ่งปูกึ่งกุ้ง ที่พบในบริเวณป่าชายเลนจังหวัดจันทบุรีและระนอง

ปลาตีน พบได้ทั่วไปในบริเวณหาดเลนและป่าชายเลน นอกจากปลาตีนจะสามารถหายใจได้เมื่ออยู่บนบกแล้ว ก็ยังสามารถกระโดดไปมาบนดินเลน และคลานขึ้นต้นไม้ได้ด้วย เมื่ออยู่บนบก ปลาตีนจะหายใจโดยดึงเอาออกซิเจนจากอากาศผ่านทางผิวหนังและช่องเหงือก แต่เวลาที่มันว่ายอยู่ในน้ำ หรือเมื่อน้ำขึ้น มันจะว่ายน้ำได้เหมือนปลาทั่วไป และหายใจโดยใช้เหงือก ปลาตีนมักจะขึ้นมานอนผึ่งแดดบนดินเลนหรือขอนไม้ในเวลาที่น้ำลง ปลาตีนจะออกหากินโดยกินพวกครัสเตเชียน (Crustaceans) และสัตว์น้ำอื่นๆ แต่ปลาตีนบางชนิดจะกินทั้งซากพืชและสัตว์น้ำ

สัตว์ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในป่าชายเลนในบางช่วงระยะ

กุ้งทะเล เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณป่าชายเลนในบางช่วงชีวิตเพื่อหาอาหาร ผสมพันธุ์และอนุบาลตัวอ่อน โดยเฉพาะกุ้งแชบ๊วย กุ้งกุลาดำ และกุ้งตะกาด ซึ่งมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ กุ้งทะเลเหล่านี้จะมีเพศแยกจากกัน การผสมพันธุ์เกิดขึ้นบริเวณนอกชายฝั่งซึ่งเป็นบริเวณที่มีความเค็มสูง ตัวอ่อนระยะแรกคือ ระยะนอลเพลียส (Naulplius) ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอีกหลายระยะ ระยะที่เป็นตัวอ่อนที่มีรูปร่างเริ่มเรียวยาว ว่ายน้ำได้ดีจะเป็นระยะซูเอีย (Zoea) และระยะไมซิส (Mysis) ซึ่งเป็นระยะที่มีรูปร่างคล้ายตัวแก่แล้ว และท้ายที่สุดก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นลูกกุ้งวัยรุ่น ซึ่งเป็นระยะที่ชอบอยู่ในน้ำที่มีความเค็มต่ำ ลูกกุ้งวัยรุ่นสามารถว่ายน้ำได้ดี จึงมีการอพยพเข้าหาฝั่งบริเวณป่าชายเลน เพื่อเข้ามาอยู่อาศัยและหากิน ตลอดจนหลบซ่อนศัตรู ป่าชายเลนจึงเป็นแหล่งอนุบาลของกุ้งทะเล เมื่อเจริญวัย กุ้งกุลาดำและกุ้งแชบ๊วยจะอพยพออกสู่ทะเล เพื่อวางไข่ในแหล่งน้ำที่มันเกิด ด้วยเหตุนี้ เราจะพบว่าการเลี้ยงกุ้งทะเลในประเทศไทยในระยะแรกต้องพึ่งลูกกุ้งจากธรรมชาติทั้งสิ้น

ปูทะเล เป็นสัตว์อีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องพึ่งพาอาศัยป่าชายเลนและมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณป่าชายเลนดำรงชีวิตโดยการจับปูทะเล และเลี้ยงหรือขุนปูทะเลเพื่อขาย โดยทั่วไป ปูทะเลชอบอาศัยอยู่ตามพื้นโคลน หรือพื้นโคลนปนทรายในบริเวณป่าชายเลนปากแม่น้ำ โดยปูทะเลวัยอ่อนที่มีกระดองกว้างระหว่าง ๒๐ - ๙๙ มิลลิเมตร จะอาศัยอยู่ในป่าชายเลน ทั้งในบริเวณชายฝั่งในเขตน้ำขึ้นน้ำลง ปูทะเลวัยรุ่นที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะอพยพเข้ามาหาอาหารในป่าชายเลนที่น้ำท่วมถึงในขณะที่น้ำขึ้นสูงสุด และกลับออกสู่บริเวณชายฝั่งในขณะที่น้ำลง ส่วนปูทะเลที่โตเต็มวัยจะสามารถเข้ามาหาอาหารในบริเวณต่างๆในป่าชายเลนได้


แมงดาทะเล เป็นสัตว์ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ซากดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิต (Living fossil)” เพราะรูปร่างลักษณะของมันมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมน้อยมากนับตั้งแต่ถือกำเนิดมาบนโลกมากกว่า ๔๐๐ ล้านปีที่ผ่านมา แมงดาทะเลที่พบบริเวณชายฝั่งทะเลของไทยมี ๒ ชนิด คือแมงดาจานหรือแมงดาหางเหลี่ยม (Tachypleus gigas) และแมงดาถ้วยหรือแมงดาหางกลม (Carcinoscorpius rotundicauda) แมงดาทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกันทั้งรูปร่างและการดำรงชีวิต ในช่วงน้ำขึ้น เราพบว่า แมงดาจานจะขึ้นมาวางไข่ที่หาดทราย ส่วนแมงดาถ้วยจะขึ้นมาวางไข่ในป่าชายเลน ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าระดับน้ำขึ้นสูงสุดประมาณ ๑ เมตร แมงดาถ้วยจะขุดหลุมลึกจากผิวดินประมาณ ๓ - ๘ เซนติเมตร เพื่อวางไข่หลุมละประมาณ ๑๐๐ - ๑๕๐ ฟอง โดยจะวางไข่ในแต่ละครั้งเพียง ๑ - ๒ หลุมเท่านั้น แต่ใช้เวลานานนับเดือนในการฟักตัว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น