วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สรุป

ป่าชายเลนหรือป่าโกงกางคือระบบนิเวศที่ประกอบไปด้วยพันธ์พืช พันธ์สัตว์
หลายชนิดดำรงชีวิตร่วมกันในสภาพแวดล้อมที่เป็นดินเลน
น้ำกร่อย อีกทั้งมีคุณค่าและประโยชน์ต่อหลากหลายชีวิต
................
ปัจจุบันป่าชายเลนกำลังประสบปัญหาจากการถูกรุกรานและทำลายของมนุษย์เป็นย่างมาก
จึงหวังว่าจะมีการรักษาป่าชายเลนให้อยู่ตลอดไป

ปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหา

สาเหตุสำคัญของการลดลงของพื้นที่ป่าชายเลน ในช่วงหลังปี 2522 เนื่องจากมีการตื่นตัวในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อการเพาะเลี้ยงกุ้ง เนื่องจากเป็นอาชีพที่มีผลตอบแทนการลงทุนค่อนข้างสูง และมีระยะคืนทุนสั้นทำให้ธุรกิจการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีเนื้อที่เลี้ยงเพิ่มขึ้นจาก 162,725 ไร่ ในปี 2522 เป็นประมาณกว่า 600,000 ไร่ ในปี 2529 หรือคิดเป็นร้อยละ 64.30 ของพื้นที่ป่าชายเลนที่ถูกทำลายทั้งหมด ส่วนการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนเพื่อกิจกรรมอื่น เช่น การทำเหมืองแร่ การทำนาเกลือ การทำเกษตรกรรม การขยายตัวของชุมชน การสร้างท่าเทียบเรือ การสร้างถนนและสายส่งไฟฟ้า การสร้างโรงงานอุตสาหกรรม และการขุดลอกร่องน้ำ มีการขยายตัวไม่มากนัก โดยในช่วงระหว่างปี 2523 - 2529 ประมาณ 328,581 ไร่ หรือคิดเป็นเพียงประมาณร้อยละ 35.70 ของเนื้อที่ป่าชายเลนที่ถูกทำลายทั้งหมดจนถึงปี 2529 (ไพโรจน์, 2534)

การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว ยังทำให้เกิดการสูญเสีย และมีผลกระทบต่อระบบนิเวศป่าชายเลนเป็นอย่างมาก ซึ่งลักษณะของผลกระทบโดยตรงที่เกิดขึ้นต่อป่าชายเลนนี้ จำแนกได้เป็น ประการใหญ่ ๆ (สนิท, 2532) คือ
ประการแรก เป็นผลกระทบทางด้านกายภาพ และเคมีภาพ ได้แก่ อุณหภูมิน้ำ ปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำ ปริมาณธาตุอาหาร ความเค็ม สภาพทางอุทกวิทยา (การขึ้นลงของน้ำทะเลและปริมาณน้ำจืด) การตกตะกอน และน้ำขุ่นข้น ปริมาณสารพิษในน้ำ และการพังทลายของดิน เป็นต้น
ประการที่สอง ผลกระทบทางด้านชีววิทยา เช่น การเปลี่ยนแปลงชนิด ปริมาณและลักษณะโครงสร้างของพืชและสัตว์น้ำ
ประการสุดท้าย เป็นผลกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศ (Ecological balance) เช่น การสืบพันธุ์ การเจริญเติบโต การเปลี่ยนแปลงทำลายที่อยู่ (habitat) การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อาหาร (food chain) ที่เกิดขึ้นในระบบนิเวศป่าชายเลนเอง และระบบนิเวศประเภทอื่น ๆ ในบริเวณชายฝั่งและใกล้เคียงป่าเลน


สรุปปัญหาที่เกิดขึ้นกับป่าชายเลน

1. การใช้ประโยชน์ที่มากเกินไป การบุกรุกป่าชายเลนเพื่อหาผลผลิตจากป่าโดยตรงจนเกินขีดความสามารถของป่า ตลอดจนการอนุญาตให้เข้าตัดฟันป่าไม้ชายเลนมากเกินไป ล้วนก่อให้เกิดผลกระทบต่อป่าชายเลนโดยตรงในแง่ของการให้ผลผลิตและการบริการต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว
2. การแปรสภาพป่าชายเลน กิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การทำบ่อปลา และการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัย มักจะได้รับการพิจารณาว่ามีคุณค่าและได้รับการสนับสนุนให้เข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มมากขึ้น
3. กิจกรรมการใช้ประโยชน์จากป่าชายเลนที่มากเกินไป รวมทั้งกิจกรรมที่ต้องอาศัยการาแปรสภาพป่าชายเลน อาจก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบด้านเศรษฐกิจสังคมสำหรับชุมชนชายฝั่งทะเลได้ ยิ่งไปกว่านั้น กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ยังทำให้พืชและสัตว์หลายชนิดในป่าชายเลนต่างก็สูญพันธุ์ไปมากแล้ว


แนวทางการแก้ไขปัญหา
1.เพื่อเป็นการหยุดยั้งการแผ่ขยายการทำลายป่าชายเลน จึงควรที่จะห้ามกิจกรรมใด ๆ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนสภาพป่าชายเลนได้
2. การตอบสนองความต้องการใด ๆ ของมนุษย์ จะต้องเป็นไปโดยไม่ทำให้ส่งผลเสียหายต่อพืชและสัตว์ในเขตอนุรักษ์
3. ป่าชายเลนควรจะได้รับการจัดการในรูปแบบของการจัดการทรัพยากรที่เกิดทดแทนได้ เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนการให้บริการทางด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน
4. ควรจะถือว่าป่าชายเลนเป็นส่วนหนึ่งของเขตชายฝั่งทะเล โดยไม่มีการแบ่งแยกการพิจารณาเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ป่าชายเลน จะต้องคำนึงถึงลักษณะการพึ่งพอของป่าชายเลนที่ขึ้นอยู่กับการใช้ที่ดินเพื่อการเก็บกักน้ำ และลักษณะความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างป่าชายเลนกับผืนน้ำชายฝั่งที่อยู่ติดกัน
5. ควรจะมีการจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการที่อยู่ในป่าชายเลนหรือที่อยู่ติดกับป่าชายเลน โดยถือว่าระบบนิเวศป่าชายเลนนั้นเปลี่ยนแปลงได้ง่าย และควรจะเน้นถึงความสำคัญของกระบวนการภายนอกที่เกี่ยวข้องกัลแหล่งน้ำจืดและน้ำเค้ม และการผลิตสารอาหาร
6. ควรจะมีการปรับปรุงฐานข้อมูลป่าชายเลน และแผนชาติเกี่ยวกับป่าชายเลนให้ทันสมัยอยู่เสมอ
7. รณรงค์ให้ประชาชนและผู้บกรุกป่าชายเลนเข้าใจถึงความสำคัญของป่าชายเลน และให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์ป่าชายเลน
8. ชดเชยพื้นที่ป่าชายเลนที่สูญเสียไปโดยการปลูกทดแทนขึ้นมา


กระบวนการศึกษา:3

พันธุ์ไม้ในป่าชายเลน





ไม้โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata)พันธุ์ไม้สำคัญที่พบมากในป่าชายเลน ลักษณะคล้ายคลึงกับโกงกางใบใหญ่แต่ใบมีขนาดเล็กกว่า ตรงโคนต้นแตกรากค้ำจุนมาก ฝักมีขนาดเล็กยาวประมาณ 30 เซนติเมตร เมื่อร่วงหล่นลงสู่พื้นจะปักดิน และงอกขึ้นมา เป็นต้นโกงกางทั้งสองชนิด มักขึ้นอยู่ริมชายฝั่งของเขตแนวป่าด้านนอก




ไม้โกงกางใบใหญ่ (Rhizophora mucronata)พันธุ์ไม้ที่มีลักษณะต้นตั้งตรง และแตกกิ่งก้านเป็นพุ่ม บริเวณเรือนยอด รากค้ำจุนแตกออกตรงโคนต้น ใบขนาดใหญ่เป็นมัน ผลสีน้ำตาล มีการงอกของเมล็ดตั้งแต่อยู่บนต้นยื่นลงมาเป็นท่อนยาวสีเขียว ขนาดยาวประมาณ 50 เซนติเมตร เมื่อร่วงหล่นลงสู่พื้นโคลนจะปักลงไปในดิน และเจริญงอกขึ้นมาเป็นต้น





แสมขาว (Avicennia alba)พันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่พบมากอีกชนิดหนึ่ง ลักษณะต้นสูงใหญ่ตรงโคนต้น มีรากอากาศโผล่พ้นพื้นดันขึ้นมาเป็นเส้นขนาดยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเล็ก สีเหลือง กลิ่นหอม ผลมีรูปร่างกลมรีคล้ายผลมะม่วง ขนาดเล็ก เมื่อหล่นลงสู่พื้นจึงงอกขึ้นเป็นต้นใหม่หรือถูกพัดพาไปกับน้ำทะเล





ประสัก หรือพังกาหัวสุม (Bruguira gymnorrhiza)พันธุ์ไม้ในป่าชายเลนที่ขึ้นแทรกอยู่ในเขตป่าโกงกาง ใบมีผิวเรียบมัน ดอกประสักมีกลีบเลี้ยงสีแดง ผลมีการงอกของเมล็ดตั้งแต่ยังอยู่บนต้น ลักษณะเป็นท่อนยาวประมาณ 12 เซนติเมตรเมื่อร่วงหล่นปักลงบนพื้นดิน โคลนจะงอกรากและเจริญเป็นต้น





ลำพู (Sonneratia caseolaris)พันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่มักพบขึ้นปะปนกับแสมบริเวณปากแม่น้ำที่เป็นแหล่ง น้ำกร่อยมีรากอากาศขนาดใหญ่ที่แทงขึ้นมาจาก พื้นดินเห็นได้ชัดเจน บนต้นลำพูนี่เองที่หิ่งห้อยชอบอาศัยอยู่และส่งแสงกระพริบในเวลากลางคืน





จาก (Nypa frutican)พืชจำพวกปาล์มที่พบขึ้นอยู่หนาแน่นบริเวณริมฝั่งคลองของป่าชายเลน หรือบริเวณน้ำกร่อยชาวประมงนิยมนำใบจากไปมุงหลังคาบ้านผลลักษณะเป็นทะลาย แทงขึ้นมาจากกอ






ตะบูน (Xylocarpus granatum)พบขึ้นอยู่ทางเขตด้านใน ถัดจากโกงกางเข้าไปซึ่งเป็นเขตตะบูนและโปรง ลักษณะโคนต้นมีรากแผ่ออกเป็นพู พอนขนาดใหญ่ ผลมีขนาด และรูปร่าง คล้ายมะตูม เมื่อผลแห้งจะแตกออกมีเมล็ดขนาดใหญ่อยู่ภายใน






ไม้โปรง (Ceriops tagal)พันธุ์ไม้ชายเลน ขึ้นปะปนกับตะบูน ลำต้นตั้งตรงขนาดสูง ประมาณ 5 เมตร เมื่อติดผลมีลักษณะคล้ายคลึงกับฝักโกงกางใบเล็กต้นโปรงจะขึ้น อยู่บน พื้นดินที่ค่อนข้างแข็งในเขตเดียวกับตะบูน





ตาตุ่ม (Excoecaria agallocha)พันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่มียางพิษสีขาวหากเข้าตาจะทำให้อักเสบ พบขึ้นปะปนอยู่กับต้นฝาดเราจะสังเกตต้นตาตุ่มได้เมื่อใบแก่จะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงก่อน ที่จะร่วงหล่น








ฝาดแดง (Lumnitzera littorea)ไม้ป่าชายเลนขนาดต้นใหญ่ ลำต้นสีดำ ใบเล็กอวบ น้ำดอกออก เป็นช่อสีแดง ออกดอกชุกในช่วงฤดูฝน ซึ่งจะมีนกกินน้ำหวานหลายชนิด เช่น นกกระจิบ นกแว่นตาขาว และนกกินปลีที่อาศัยอยู่ตามป่าชายเลน ชอบมาดูดน้ำหวานจากดอกฝาดสีแดงเหล่านี้


เสม็ด (Melaleuca leucadendron)พืชยืนต้นที่ขึ้นอยู๋ทางเขตด้านในสุดของป่าชายเลนเชื่อมต่อกับป่าบก ดอกเป็นช่อสีขาวส่วนใหญ่ของพื้นที่ป่าเสม็ดจะมีน้ำท่วมถึงเฉพาะช่วงน้ำ เกิดในฤดูหนาวเท่านั้นเปลือกของเสม็ดนำมาชุบน้ำมันยางใช้ทำขี้ไต้สำหรับจุดไฟ ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวประมง

กระบวนการศึกษา:2

สัตว์ในระบบนิเวศป่าชายเลน
สัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลนตลอดวงจรชีวิตของมัน
ปูก้ามดาบ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในป่าชายเลน โดยมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อาหาร และกระบวนการหมุนเวียนของธาตุอาหารและอินทรียสารพวกซากไม้เศษไม้ ปูก้ามดาบกินอาหารโดยเลือกอินทรียสารจากดินทราย รยางค์ส่วนปากของมันมีลักษณะพิเศษเฉพาะ เพื่อใช้เลือกและแยกอาหารพวกอินทรียสารและจุลชีพออกจากตะกอนดินที่มีขนาดอนุภาคต่างกัน การกระจายของปูก้ามดาบแต่ละชนิดจะขึ้นอยู่กับลักษณะของดินและความเค็มของน้ำนอกจากนี้ การกระจายของปูก้ามดาบก็ยังขึ้นอยู่กับปริมาณอาหาร ร่มเงาและความชื้น อุณหภูมิ และความลาดเอียงของหาด

ปูแสม จะเดินขึ้นลงตามรากไม้ในป่าชายเลนอย่างรวดเร็วมาก ปูแสมจัดเป็นกลุ่มปูที่พบมากที่สุดในบริเวณป่าชายเลน ตั้งแต่ตัวเล็กไปจนถึงตัวใหญ่มาก ปูแสมมีบทบาทที่สำคัญในการย่อยสลายอินทรียสารในป่าชายเลน โดยจะกินพวกเศษไม้ใบไม้ที่ร่วงหล่น ปูแสมที่พบในป่าชายเลนสามารถแบ่งได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่คือ กลุ่มที่คลานหรือวิ่งไปมาในป่าชายเลนซึ่งมักจะหลบอาศัยอยู่ตามรากของต้นไม้ใหญ่คือ ไม้โกงกาง ไม้ถั่ว และไม้แสม กลุ่มที่สอง จะสร้างรูอยู่ใต้ดิน หรือตามรากไม้ต่างๆ ซึ่งลักษณะรูจะต่างกันแล้วแต่ชนิด ปูแสมบางชนิดจะพบได้ในมูลดินของแม่หอบ๑ซึ่งเป็นสัตว์กึ่งปูกึ่งกุ้ง ที่พบในบริเวณป่าชายเลนจังหวัดจันทบุรีและระนอง

ปลาตีน พบได้ทั่วไปในบริเวณหาดเลนและป่าชายเลน นอกจากปลาตีนจะสามารถหายใจได้เมื่ออยู่บนบกแล้ว ก็ยังสามารถกระโดดไปมาบนดินเลน และคลานขึ้นต้นไม้ได้ด้วย เมื่ออยู่บนบก ปลาตีนจะหายใจโดยดึงเอาออกซิเจนจากอากาศผ่านทางผิวหนังและช่องเหงือก แต่เวลาที่มันว่ายอยู่ในน้ำ หรือเมื่อน้ำขึ้น มันจะว่ายน้ำได้เหมือนปลาทั่วไป และหายใจโดยใช้เหงือก ปลาตีนมักจะขึ้นมานอนผึ่งแดดบนดินเลนหรือขอนไม้ในเวลาที่น้ำลง ปลาตีนจะออกหากินโดยกินพวกครัสเตเชียน (Crustaceans) และสัตว์น้ำอื่นๆ แต่ปลาตีนบางชนิดจะกินทั้งซากพืชและสัตว์น้ำ

สัตว์ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในป่าชายเลนในบางช่วงระยะ

กุ้งทะเล เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณป่าชายเลนในบางช่วงชีวิตเพื่อหาอาหาร ผสมพันธุ์และอนุบาลตัวอ่อน โดยเฉพาะกุ้งแชบ๊วย กุ้งกุลาดำ และกุ้งตะกาด ซึ่งมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ กุ้งทะเลเหล่านี้จะมีเพศแยกจากกัน การผสมพันธุ์เกิดขึ้นบริเวณนอกชายฝั่งซึ่งเป็นบริเวณที่มีความเค็มสูง ตัวอ่อนระยะแรกคือ ระยะนอลเพลียส (Naulplius) ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอีกหลายระยะ ระยะที่เป็นตัวอ่อนที่มีรูปร่างเริ่มเรียวยาว ว่ายน้ำได้ดีจะเป็นระยะซูเอีย (Zoea) และระยะไมซิส (Mysis) ซึ่งเป็นระยะที่มีรูปร่างคล้ายตัวแก่แล้ว และท้ายที่สุดก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นลูกกุ้งวัยรุ่น ซึ่งเป็นระยะที่ชอบอยู่ในน้ำที่มีความเค็มต่ำ ลูกกุ้งวัยรุ่นสามารถว่ายน้ำได้ดี จึงมีการอพยพเข้าหาฝั่งบริเวณป่าชายเลน เพื่อเข้ามาอยู่อาศัยและหากิน ตลอดจนหลบซ่อนศัตรู ป่าชายเลนจึงเป็นแหล่งอนุบาลของกุ้งทะเล เมื่อเจริญวัย กุ้งกุลาดำและกุ้งแชบ๊วยจะอพยพออกสู่ทะเล เพื่อวางไข่ในแหล่งน้ำที่มันเกิด ด้วยเหตุนี้ เราจะพบว่าการเลี้ยงกุ้งทะเลในประเทศไทยในระยะแรกต้องพึ่งลูกกุ้งจากธรรมชาติทั้งสิ้น

ปูทะเล เป็นสัตว์อีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องพึ่งพาอาศัยป่าชายเลนและมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณป่าชายเลนดำรงชีวิตโดยการจับปูทะเล และเลี้ยงหรือขุนปูทะเลเพื่อขาย โดยทั่วไป ปูทะเลชอบอาศัยอยู่ตามพื้นโคลน หรือพื้นโคลนปนทรายในบริเวณป่าชายเลนปากแม่น้ำ โดยปูทะเลวัยอ่อนที่มีกระดองกว้างระหว่าง ๒๐ - ๙๙ มิลลิเมตร จะอาศัยอยู่ในป่าชายเลน ทั้งในบริเวณชายฝั่งในเขตน้ำขึ้นน้ำลง ปูทะเลวัยรุ่นที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะอพยพเข้ามาหาอาหารในป่าชายเลนที่น้ำท่วมถึงในขณะที่น้ำขึ้นสูงสุด และกลับออกสู่บริเวณชายฝั่งในขณะที่น้ำลง ส่วนปูทะเลที่โตเต็มวัยจะสามารถเข้ามาหาอาหารในบริเวณต่างๆในป่าชายเลนได้


แมงดาทะเล เป็นสัตว์ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ซากดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิต (Living fossil)” เพราะรูปร่างลักษณะของมันมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมน้อยมากนับตั้งแต่ถือกำเนิดมาบนโลกมากกว่า ๔๐๐ ล้านปีที่ผ่านมา แมงดาทะเลที่พบบริเวณชายฝั่งทะเลของไทยมี ๒ ชนิด คือแมงดาจานหรือแมงดาหางเหลี่ยม (Tachypleus gigas) และแมงดาถ้วยหรือแมงดาหางกลม (Carcinoscorpius rotundicauda) แมงดาทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกันทั้งรูปร่างและการดำรงชีวิต ในช่วงน้ำขึ้น เราพบว่า แมงดาจานจะขึ้นมาวางไข่ที่หาดทราย ส่วนแมงดาถ้วยจะขึ้นมาวางไข่ในป่าชายเลน ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าระดับน้ำขึ้นสูงสุดประมาณ ๑ เมตร แมงดาถ้วยจะขุดหลุมลึกจากผิวดินประมาณ ๓ - ๘ เซนติเมตร เพื่อวางไข่หลุมละประมาณ ๑๐๐ - ๑๕๐ ฟอง โดยจะวางไข่ในแต่ละครั้งเพียง ๑ - ๒ หลุมเท่านั้น แต่ใช้เวลานานนับเดือนในการฟักตัว

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กระบวนการศึกษา:1

ป่าชายเลน
ป่าชายเลน เป็นกลุ่มของสังคมพืช ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไม้ไม่ผลัดใบ มีลักษณะทางเสรีวิทยาและการปรับตัวทางโครงสร้างที่คล้ายคลึงกันและการขึ้นของพรรณไม้ในป่าชายเลน จะขึ้นอยู่กับแนวเขตซึ่งผิดแปลกไปจากสังคมพืชป่าบกทั้งนี้เพราะอิทธิพลจากลักษณะของดิน ความเค็มของน้ำทะเลและการขึ้นลงของน้ำทะเลเป็นสำคัญสำหรับแนวเขตที่เด่นชัดของป่าชายเลน ได้แก่

- โกงกาง ทั้งโกงกางใบเล็กและโกงกางใบใหญ่ จะขึ้นอยู่หนาแน่นบนพื้นที่ใกล้ฝั่งทะเล

- ไม้แสมและประสัก จะอยู่ถัดจากแนวเขตของโกง

- ไม้ตะบูน จะอยู่ลึกเข้าไปจากแนวเขตของไม้แสมและประสัก เป็นพื้นที่ที่มีดินเลน แต่มักจะแข็ง ส่วนบนพื้นที่ดินเลนที่ไม่แข็งมากนัก และมีน้ำทะเลท่วมถึงเสมอ จะมีไม้โปรง รังกะแท้ และฝาด ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น

- ไม้เสม็ด จะขึ้นอยู่แนวเขตสุดท้าย ซึ่งเป็นพื้นที่เลนแข็งที่มีน้ำทะเลท่วมถึงเป็นครั้งคราว เมื่อระดับน้ำทะเลขึ้นสูงสุดเท่านั้น และแนวเขตนี้ถือว่าเป็นแนวติดต่อระหว่างป่าชายเลนกับป่าบก

- สำหรับพวกปรงจะพบทั่วๆ ไปในป่าชายเลน แต่จะขึ้นอย่างหนาแน่นในพื้นที่ถูกถาง




ความสำคัญและประโยชน์ของป่าชายเลน
ป่าชายเลน นับวันจะมีความสำคัญมากขึ้นต่อชีวิตประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศที่มีทรัพยากรประเภทนี้ ประเทศไทยใช้ทรัพยากรป่าชายเลน ทั้งทางด้านป่าไม้ และด้านประมง โดยเฉพาะเป็นแหล่งขยายพันธุ์ และเป็นแหล่งอนุบาลในด้านป่าไม้ ผลิตผลที่ได้จากป่าชายเลน ช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศได้มาก ก็คือ การนำไม้จากป่าชายเลนโดยเฉพาะไม้โกงกางมาทำถ่าน นอกจากนี้ ยังนำไปใช้ทำเสาเข็ม สร้างบ้าน และในปัจจุบัน อุตสาหกรรมเกี่ยวกับการกลั่นไม้จากป่าชายเลน โดยเฉพาะผลิตผลด้านเมทิลแอลกอฮอล์ กรดน้ำส้ม และน้ำมันดิบ เป็นต้น สำหรับในด้านการประมง ป่าชายเลนถือว่าเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญต่อสัตว์น้ำนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นพวกกุ้ง หอย ปู และปลา วงจรชีวิตของสัตว์น้ำเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กับป่าชายเลนอย่างมาก ทั้งในด้านเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งเพาะพันธุ์ และการเจริญเติบโต ป่าชายเลนสามารถผลิตอาหารแร่ธาตุหลายชนิด โดยได้จากการร่วงหล่นและสลายตัวของเศษไม้ ใบไม้ ความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศป่าชายเลน จะเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์น้ำกับป่าชายเลนนั้นมีมากมาย หากมีการทำลายป่าชายเลนลงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเหล่านี้จะหมดไป และในที่สุด ทรัพยากรสัตว์น้ำก็จะลดปริมาณลง หรือหมดไปอีกด้วย

การอนุรักษ์ป่าชายเลน

โดยที่ป่าชายเลน เป็นทรัพยากรที่สำคัญและให้ประโยชน์ทั้งในด้านป่าไม้ ประมง และรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ป่าชายเลนได้ถูกทำลายลงด้วยกิจกรรมต่างๆ อยู่เป็นประจำ ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องหาแนวทางในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าชายเลนให้ได้ผลเต็มที่ตลอดไป และในขณะเดียวกันก็ไม่เป็นการทำลายระบบนิเวศด้วย หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือ การจัดการทรัพยากรป่าชายเลนเพื่อให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ยั่งยืนต่อไปการอนุรักษ์ป่าชายเลน ได้แก่ ๑. การรักษาพื้นที่ป่าชายเลนที่มีอยู่ให้คงไว้ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร และจะต้องช่วยกันหลายๆ ฝ่าย ลำพังกรมป่าไม้แต่เพียงหน่วยงานเดียว ย่อมทำได้ยาก การป้องกันอย่างจริงจัง รวมทั้งการจัดการวางแผนการใช้ที่ดินชายฝั่งทะเลให้เหมาะสม จะเป็นทางหนึ่งที่จะรักษาพื้นที่ป่าชายเลนไว้ได้ นอกจากนี้กฎระเบียบต่างๆ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการใช้พื้นที่ป่าชายเลนควรจะใช้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ๒. การเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลน โดยการปลูกป่า ปัจจุบันกรมป่าไม้มีนโยบายที่จะขยายและสนับสนุนการปลูกป่าชายเลนเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของราชการ และส่วนของเอกชน ตามพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณชายฝั่งทะเล ทั้งที่ผ่านการทำเหมืองแร่ หรือพื้นที่นากุ้ง หรือนาข้าวที่เลิกไปแล้ว ซึ่งมีอยู่มากมาย และมีโอกาสที่จะฟื้นฟูให้เป็นป่าชายเลนขึ้นมาได้ นอกจากนี้พื้นที่ดินงอกตามชายฝั่งทะเลก็เป็นพื้นที่ที่จะสามารถปลูกป่าชายเลนขึ้นมาได้ ๓. การใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าชายเลนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการศึกษาวิจัยเพื่อหาวิธีการและเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการใช้ประโยชน์ทั้งทางด้านป่าไม้ ประมงและวิธีการผสมผสานระหว่างป่าไม้กับประมงให้มากขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้ หากทางด้านผู้ปฏิบัติการเจ้าหน้าที่ควบคุม และนักวิชาการ ได้ร่วมมือกันอย่างจริงจังแล้ว เชื่อว่าการใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าชายเลนจะประสบผลสำเร็จมากขึ้น โดยได้ผลิตผลสูงขึ้น และปราศจากการทำลายระบบนิเวศของตัวเอง


ระบบนิเวศป่าชายเลน
1.ระบบนิเวศป่าชายเลน โครงสร้างระบบนิเวศป่าชายเลน มีองค์ประกอบดังต่อไปนี้


1.1 ผู้ผลิต (producer) คือ พวกที่สร้างอินทรีย์สารโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้แก่ แพลงตอนพืช สาหร่าย และพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆในป่าชายเลน




1.2 ผู้บริโภค (consumers) สามารถแบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ๆดังนี้

1) กลุ่มผู้บริโภคหรือกินอินทรีย์สาร ได้แก่ สัตว์หน้าดินขนาดเล็ก และพวกหอยฝาเดียว รวมไป ถึงพวกปลาบางชนิด
2) กลุ่มผู้บริโภคหรือกินพืชโดยตรง พวกนี้จะกินทั้งพืชโดยตรง เช่นแพลงตอน สัตว์ปู ไส้เดือนทะเล และปลาบางชนิด เป็นต้น
3) กลุ่มผู้บริโภคหรือกินสัตว์ ซึ่งรวมถึงพวกกินสัตว์ระดับแรกหรือระดับต่ำได้แก่ พวกกุ้ง ปู ปลา ขนาดเล็ก และพวกนกกินปลาบางชนิด
ส่วนพวกกินสัตว์ระดับสูงสุดหรือยอด ได้แก่ ปลาขนาดใหญ่ นก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และที่สำคัญที่สุดคือมนุษย์นั่นเอง
4) กลุ่มบริโภคกินทั้งพืชและสัตว์ ได้แก่ปลาบางชนิด แต่ส่วนใหญ่สัตว์กลุ่มนี้มักจะกินพืชมากกว่ากินสัตว์



1.3 ผู้ย่อยสลาย (decomposers) ได้แก่ แบคทีเรีย รา และพวกคัสเตเชีย


2.ความสัมพันธ์ในแง่อาหารและการถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศป่าชายเลนในป่าชายเลน


โซ่อาหารแบ่งออกได้เป็น2 แบบใหญ่ๆคือแบบแรกเป็นลูกโซ่อาหารที่เริ่มจากพืชสีเขียวไปสู่สัตว์ชนิดอื่นในระดับอาหารต่างๆที่สูงกว่า ซึ่งเรียกว่า grazing food chainและแบบที่สองเป็นลูกโซ่อาหารที่เริ่มจากอินทรีย์สารไปสู่สัตว์ชนิดอื่นๆในระดับอาหาารที่สูงกว่า เรียกว่า detrital food chain ความสัมพันธ์ในแง่อาหารหรือการหมุนเวียนของธาตุอาหารและการถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศป่าชายเลนเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนพอสมควร แต่อย่างไรก็ตาม พอจะอธิบายเข้าใจได้ง่ายๆคือเริ่มแรกเมื่อพันธุ์พืชชนิดต่างๆที่อยู่ในป่าชายเลนได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์เพื่อใช้ในการสังเคราะห์แสง ทำให้เกิดอินทรีย์วัตถุและการเจริญเติบโตขึ้นโดยเรียกพวกนี้ว่า ผู้ผลิต ส่วนของต้นไม้โดยเฉพาะใบไม้ กิ่งไม้ และเศษไม้ นอกเหนือจากส่วนที่เป็นลำต้น ซึ่งมนุษย์นำไปใช้ประโยชน์จะร่วงหล่นทับถมในน้ำและดิน และในที่สุดก็กลายเป็นแร่ธาตุอาหาของพวกจุลชีวัน หรือเรียกว่า ผู้บริโภค พวกผู้บริโภคจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและก็จะกลายเป็นอาหารของพวกกุ้ง ปู และปลาขนาดใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆตามลำดับ หรือบางส่วนก็ตายและผุสลายตัวเป็นธาตุอาหรสะสมอยู่ในป่านั่นเอง และในขั้นสุดท้ายพวกกุ้ง ปู และปลาขนาดใหญ่ก็จะเป็นอาหารโปรตีนของพวกสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า และของพวกมนุษย์ ซึ่งถือเป็นอันดับสุดท้ายของลูกโซ่อาหาร หรือเป็นอันดับสูงสุดของการถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศนั่นเอง

3.ความสมดุลในระบบนิเวศสรรพสิ่งที่มีชีวิตต่างๆที่ธรรมชาติสร้างขึ้น



ล้วนแล้วแต่ถูกกำหนดให้ทุกอย่างสมดุลกัน ระบบนิเวศในป่าชายเลนก็เช่นเดียวกัน หากปราศจากการรบกวนของมนุษย์และภัยธรรมชาติ ที่มาคุกคามแล้ว สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็สามารถปรับให้เกิดความสมดุลของระบบได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันสภาพป่าชายเลนทั่วโลกได้ถูกรบกวนจากมนุษย์ทำให้สภาพป่าได้สูญเสียความสมดุล และเสื่อมโทรมลงไป การบุกรุกทำลายป่าเป็นประเด็นหลักในการรบกวนและทำลายระบบนิเวศอย่างรุนแรง นอกจากนี้การทำการเกษตร การทำเหมืองแร่ การขยายตัวของชุมชนการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมนับเป็นกิจกรรมของมนุษย์ที่ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมในระบบนิเวศทั้งสิ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นเหล่านี้ จะต้องมีการวางนโยบายที่ถูกต้องในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติป่าชายเลน เพื่อเป็นการอนุรักษ์และรักษาทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ให้มีอยู่อย่างสมบูรณ์ตลอดไป

แผนที่


ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น

เว็บไซต์อ้างอิง

http://www.hotelsguidethailand.com/travel/travel_detail.php?l=th&code=6254

http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=66&post_id=73065

http://www.bangkokbusclub.com/forums/index.php?topic=4109.0

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ


1. ความรู้เกี่ยวกับป่าชายเลน

2. รู้จัก พืชและสัตว์ในป่าชายเลน

3. จิตสำนึกในการรักษ์ป่าชายเลน ฯลฯ

เป้าหมายการวิจัย

1. ทราบเรื่องของป่าชายเลน
2. รู้จักพืชและสัตว์ในป่าชายเลนบางชนิดในป่าชายเลน
3. ทราบถึงความสำคัญและประโยชน์ของป่าชายเลน
4. ทราบถึงระบบนิเวศป่าชายเลน
5. ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของป่าชายเลนเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงในให้ทุก

คนดูแลและเกิดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ป่าชายเลนเพื่อส่งเสริมการดูแลรักษาป่าชายเลน
6.ทราบสาเหตุของการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน

7.เพื่อให้ทุกคนช่วยกันป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน
โดยการส่งเสริมการดูแลรักษาป่าชายเลน

ขอบเขตการวิจัย

พื้นที่ทำการวิจัย :
ชุมชนชายทะเลบางขุนเทียน แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10150

ประชากรที่ศึกษา :
พืช ที่อยู่ในพื้นที่ป่าชายเลนบางชนิด
สัตว์ ที่อยู่ในพื้นที่ป่าชายเลนบางชนิด

วัตถุประสงค์ของโครงการวิจัย

วัตถุประสงค์หลัก

เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึง“การป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน” ซึ่งในขณะนี้เป็นปัญหาหลักของชาวบ้านที่ชุชนชายทะเลบางขุนเทียนและชุมชนรอบๆและต้องการให้เกิดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ป่าชายเลนเพื่อส่งเสริมการดูแลรักษาป่าชายเลน

วัตถุประสงค์รอง


1.เพื่อเรียนรู้ถึงสาเหตุของการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน

2.เพื่อเรียนรู้เรื่องของป่าชายเลน

3.เพื่อทราบถึงความสำคัญและประโยชน์ของป่าชายเลน

4.เพื่อรู้จักพืชและสัตว์ในป่าชายเลนบางชนิด

5.เพื่อทราบถึงระบบนิเวศป่าชายเลน

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ที่มาและความสำคัญของปัญหา

จากการที่คณะผู้วิจัยได้ทำการปรึกษาและลงมติร่วมกัน
ได้เล็งเห็นความสำคัญของชายทะเลบางขุนเทียน คณะผู้วิจัยจึงได้ทำการเลือก
"ชุมชนชายทะเลบางขุนเทียน"มาเป็นสถานที่ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้

คณะผู้วิจัย

คณะผู้วิจัย

นางสาว สุจิตรา กองกะมุด 5021237028

นาย อิศเรศ บุญไพศาลดิลก5021237036

นาย บุญเลิศ เมฆประสพสุข5021244001

เสนอ



ชุมชนชายทะเลบางขุนเทียน







เสนอ
รศ.วันทนี สว่างอารมณ์


วิชา การศึกษานิเวศวิทยาเชิงการท่องเที่ยว



จัดทำโดย

คณะวิจัยเอกเทคโนโลยีสารสนเทศ
(เทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม)

มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ชุมชนชายทะเลบางขุนเทียน

ชุมชนชายทะเลบางขุนเทียน
กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงที่ทันสมัยแห่งหนึ่งของเอเชีย คราคร่ำไปด้วยตึกรามบ้านช่องและถนนที่กว้างใหญ่ หากแต่ในความวุ่นวายของเมืองหลวงแห่งนี้ ยังมีพื้นที่เล็กๆ อีกมุมหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่อันเงียบสงบและยังคงความเป็นธรรมชาติอันสวยงามอยู่เป็นอย่างมาก เรากำลังพูดถึงทะเลกรุงเทพฯ หรือที่รู้จักกันว่าชายทะเลบางขุนเทียน ซึ่งอยู่ในพื้นที่แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานครนี่เอง


สำหรับการเดินทางไปชมป่าชายเลนบางขุนเทียนนั้นเริ่มจากที่ถนนพระราม 2เลี้ยวเข้าถนนบางขุนเทียน-ชายทะเลซึ่งในปัจจุบันได้มีการปรับปรุงลาดยางเสร็จสมบูรณ์ตลอดทั้งเส้นแล้ว ขับรถตรงเข้าไปประมาณ 15 กิโลเมตรจนสุดทาง จะพบ 3 แยกให้เลี้ยวขวา (ทางไปสมุทรสาคร) และตรงไปอีกเพียง 200 เมตรจะพบกับโรงเรียนคลองพิทยาลงกรณ์ สามารถนำรถเข้าไปฝากจอดในโรงเรียนได้ ตรงข้ามโรงเรียนจะพบทางเข้าชุมชนคลองพิทยาลงกรณ์ จากจุดนี้สามารถเลือกที่จะเดิน เช่ารถจักรยานจากทางโรงเรียน หรือจ้างรถจักรยานยนต์ให้เข้าไปส่งก็ได้ โดยต้องเดินทางเข้าไปด้านในระยะทางประมาณ 2กิโลเมตร ลักษณะเส้นทางเป็นถนนคอนกรีตขนาดเล็กสำหรับให้คนและรถจักรยานยนต์สัญจร เมื่อมาสุดทางจะพบกับชุมชนชายทะเลบางขุนเทียน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งสร้างเป็นสะพานไม้ทอดผ่านเข้าไปในป่าชายเลนมีปลายทางที่ริมทะเล มีระยะทางโดยรวม 1.7กิโลเมตร สำหรับสะพานไม้นี้จัดสร้างโดยเขตบางขุนเทียนบนพื้นที่สาธารณะเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสมาชมและศึกษาธรรมชาติและระบบนิเวศป่าชายเลน โดยผู้ที่นำรถจักรยานหรือจักรยานยนต์เข้ามาจะต้องจอดรถไว้ที่บริเวณทางเข้า ไม่อนุญาตให้ขับขึ้นไปบนสะพานทางเดิน

บรรยากาศตลอดเส้นทางชมป่าชายเลนมีความร่มรื่นจากการที่สองข้างทางมีต้นโกงกางและแสมขนาดใหญ่ปกคลุมอย่างหนาแน่น นอกจากนี้ยังมีศาลาสำหรับนั่งพักผ่อนอยู่เป็นระยะ สิ่งหนึ่งที่ผู้เยี่ยมชมป่าชายเลนจะได้ยินเสมอคือเสียงดัง ป๊อก-แป๊กอยู่เป็นช่วงๆ ซึ่งเกิดจากกุ้งชนิดหนึ่งที่มีก้ามขวาขนาดใหญ่มีชื่อเรียกว่ากุ้งดีดขัน และยังมีสัตว์อื่นๆ ที่พบได้ในพื้นที่นี้ เช่น ปลาตีน ปูก้ามดาบ หอยชนิดต่างๆ ส่วนบริเวณริมทะเลสามารถพบนกได้หลายชนิด เช่นนกยางและนกนางนวล ซึ่งถือได้ว่าป่าชายเลนเป็นระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพเป็นอย่างมาก แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าปัจจุบันป่าชายเลนผืนนี้กำลังถูกทำลายไปจนแทบจะหมดสิ้นแล้ว จากข้อมูลที่สำรวจโดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พบว่าในอดีตกรุงเทพมหานครเคยมีป่าชายเลนประมาณ 2,750 ไร่ แต่ต่อมาได้มีการนำพื้นที่บริเวณนี้ไปจัดสรรและพัฒนาเป็นที่ดินทำกิน เช่นการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการทำนาเกลือ รวมไปถึงการขยายตัวของชุมชน นอกจากนี้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่รุนแรงและต่อเนื่องอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโดยรวมก็เป็นอีกสาเหตุหลักที่ทำให้พื้นที่ป่าชายเลนกรุงเทพฯ ลดลงไปอย่างมาก โดยพบว่าปัจจุบันกรุงเทพมหานครเหลือพื้นที่ป่าชายเลนไม่ถึง 1,000 ไร่ โดยป่าเหล่านี้มีลักษณะเป็นหย่อมเล็กๆ ส่วนพื้นที่ป่าเดิมจมอยู่ในน้ำทะเลหมดแล้ว

เมื่อเราเดินมาใกล้ถึงปลายทางซึ่งเป็นจุดชมวิวทะเล จะได้ยินเสียงเครื่องเรือของชาวบ้านแว่วมาในระยะไม่ไกล แสงสว่างจากท้องทะเลส่องผ่านปากทางร่มไม้สองข้างที่โอบตัวเป็นเหมือนอุโมงค์ เมื่อพ้นบริเวณร่มไม้มาแล้วจะพบศาลานั่งเล่นขนาบอยู่ทั้งสองข้างของทางเดินและปรากฏผืนน้ำทะเลอยู่เบื้องหน้า ซึ่งแม้น้ำทะเลจะไม่ได้มีสีสันสวยงามเหมือนแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อแห่งอื่น แต่ที่แห่งนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นทะเลแห่งเดียวของเมืองหลวงอันทันสมัยนี้ โดยสะพานไม้จะทอดยาวออกไปในทะเลและที่สุดทางทำเป็นจุดยืนชมวิว โดยเมื่อมองออกไปในระยะไม่ไกลจะพบฝูงนกยางและนกนางนวลกำลังพักผ่อนและหาอาหารอยู่บริเวณแนวชายฝั่งเป็นจำนวนมาก


นอกจากการเดินศึกษาเส้นทางป่าชายเลนแล้ว สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้ในการมาเที่ยวชมทะเลกรุงเทพฯ ครั้งนี้คือพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเขตบางขุนเทียนซึ่งตั้งอยู่ในโรงเรียนคลองพิทยาลงกรณ์นั่นเอง ซึ่งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นแห่งนี้ มีการจัดแสดงประวัติความเป็นมา รวมไปถึงข้อมูลสถานที่ต่างๆ ของเขตบางขุนเทียนเอาไว้อย่างละเอียด โดยมีการแยกหมวดหมู่การจัดแสดงไว้ดังนี้: ภาพรวมกรุงเทพฯ, บางขุนเทียนบนเส้นทางประวัติศาสตร์, สวนบางขุนเทียน, ชาวพื้นเมืองในบางขุนเทียน, บุคคลสำคัญของบางขุนเทียน, สถานที่สำคัญของบางขุนเทียน, ทะเลกรุงเทพฯ, และบางขุนเทียนวันนี้ นอกจากนี้ภายในพื้นที่ด้านหลังของโรงเรียนยังได้มีการจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนบางขุนเทียน โดยมีการปลูกพืชชายเลนชนิดต่างๆ และจำลองวิถีชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่เขตบางขุนเทียนมาจัดแสดงให้ชมอย่างครบวงจร เรียกได้ว่าเป็นการย่อส่วนป่าชายเลนและชุมชนท้องถิ่นมาไว้ให้ชมได้ภายในพื้นที่จำลองแห่งนี้นั่นเอง นอกจากนี้ผู้เยี่ยมชมยังสามารถทดลองปลูกป่าชายเลนภายในแปลงสาธิตในบริเวณเดียวกันนี้ได้อีกด้วย